The Roof @ 38th bar


หลังจากที่มีเพื่อนแนะนำให้รู้จักกับ app eatigo มือก็สั่นระรัวไปกับ 50 % หลายร้าน ลองหาทานหลายที่แล้วก็เจอร้านแห่งนี้ที่มีความพิเศษอยู่ที่ความสูง เป็นร้านอาหาร Rooftop ที่ทำให้เราเห็นวิวจากที่สูงโดยไม่ต้องเข้าพักโรงแรมหรูๆ ผมจัดแจงจองแล้วก็พาคุณพ่อคุณแม่ และเจ้าหลานจอมยุ่งไปทานอาหารกันบนชั้น 38


บรรยากาศภายด้านบนนั้น มาช่วงเย็นจะมองเห็นตัวเมืองกรุงเทพได้อย่างชัดเจน ร้านอาหารไม่ใหญ่มาก ผมมาช่วงประมาณ 17.00 น. ซึ่งลูกค้าน้อยมาก(เพราะลด 50 %) ช่วงที่ขึ้นไปร้านอาหารจะได้ขึ้นลิฟท์แก้ว ตื่นตาตื่นใจดีครับ พอมาถึงแล้ว พนักงานมากระซิบว่าที่ร้านอาหารจัดเป็น bar แต่เนื่องจากหลานยังอายุน้อย จะขอให้กลับก่อน 2 ทุ่มได้ไหม ซึ่งผมก็มีแผนที่จะกินแล้วก็กลับไม่ได้นั่งดิ้งนาน หลังจากเลือกอาหารกันอยู่นาน (เมนูอาหารมีน้อยมาก ส่วนน้ำผสมแอลกอฮอล์ผมก็ไม่ดื่ม ) เลือกกันได้ 3 เมนู (จริงแล้วสั่งสี่อย่าง แต่พนักงานลืมจดไปหนึ่งอย่าง)

สลัดซีซาร์ ดูจานเล็กใช่ไหมครับ ของจริงก็ต้องบอกว่าเล็กจริงๆ เหมือนทานเป็นกับแกล้มมากกว่า รสชาติโดยรวมถือว่าอร่อยได้มาตรฐาน ชีสที่ร้านนี้ใส่ให้พอสมควร นับหนึ่งถึง 20 กินกันสี่คนก็หมดทันที

สปาเกตตี้คาโบนาล่า จานนี้เข้มข้นมากกินได้ไม่กี่คำเลี่ยนครับ ใครที่ชอบอาหารสายครีมข้นก็มาลองได้ ส่วนขนมปังกรอบอบกรอบอร่อยดี
Club sandwich เป็นเมนูที่ถูกใจเป็นที่สุดเพราะหลานผมสามารถกินได้ แฟรนฟรายมีความกรอบอร่อยไม่อมน้ำมัน  sandwich เสริมร้อนๆกินทันทีอร่อยมากครับ แนะนำเลยเมนูนี้ไม่ควรพลาด

ค่าเสียหายครั้งนี้ 800 บาท อาหารลด 50 % แต่น้ำเปล่าขวดละ 250 บาท เป็นน้ำแร่เอเวียง ค่าน้ำโหดจริงๆครับ แนะนำว่าถ้าใครมาดิ้งคงจะชอบแต่ถ้าจะมากินอาหารแบบผมอาจจะพลาดเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้ววิวสวยๆ นี้สวยจริงๆครับ ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศครับ

ส่วนการเดินทางดูจากแผนที่ได้เลยมีทีจอดรถขับไปไปได้ หรือลงที่ BTS สุรศักดิ์แล้วก็เดินเข้าไปได้เลย


Cooking2cu

Dumpling in coconut milk - บัวลอยไข่หวาน




ขนมหวานประเภทหนึ่งที่ผมมักจะต้องกินหลังจากอาหารเที่ยงที่โรงงานอาหาร คือ บัวลอย ซึ่งดูจากหน้าตาแล้วอาจจะทำค่อนข้างยุ่งยาก แต่พอเปิดดูสูตรแล้วเห็นส่วนประกอบนั้นมีอยู่ที่บ้านจึงลองทำดูก็พบว่าทำไม่ยาก แต่ทำนาน

ช่วงปลายปีนี้ตรงกับช่วงเทศกาลคนจีนที่จะปั้นอี้ เทศกาลปั้นอี้คนจีนจะกินเพื่อแสดงว่าอายุคนเราจะแก่ขึ้นอีกหนึ่งปี (อยากจะลืมกินหลายๆ ปี จะได้ไม่ต้องแก่ แต่คุณแม่ก็ต้มทุกปีเลย ปีนี้เลยขอทำไหว้เองเลยละกัน)

ส่วนประกอบ
บัวลอย
1. แป้งข้าวเหนียว
2. แป้งมันสำปะหลัง
3. น้ำใบเตยคั้น (สีเขียว)
4. ฟักทอง (สีเหลือง)
5. แครอท (สีส้ม)
6. บีทรูท (สีแดง)

น้ำกะทิ
1. น้ำเปล่า
2. น้ำตาลทราย
3. น้ำตาลบีบ
4. กะทิ
5. ใบเตย

ไข่หวาน
1. น้ำเปล่า
2. ไข่
3. น้ำตาล

วิธีการทำ
ทำแป้งบัวลอย
1. นำส่วนผสม ฟักทอง แครอท บีทรูท นำนึ่งในซึ้ง โดยแยกบีทรูทใส่ถ้วยเล็ก เนื่องจากสีของบีทรูทจะไปตกโดนสีอื่นได้
2. นึ่งประมาณ 15 นาที และลองทดสอบดูว่า ส่วนผสมเหล่านั้นสามารถยีจนเป็นเละได้หรือไม่ ถ้ายังไม่ได้ก็นึ่งต่อ

* บีทรูทหากไม่ชอบรสชาติสามารถคั้นแต่น้ำได้ แต่ถ้าอยากให้มีกากใยและสารอาหารก็นำไปปั่นก็ได้ หากยีไม่ได้

3. ส่วนใบเตยทำการปั่นกับน้ำและกรองเนื้อทิ้งเหลือ เราก็จะได้น้ำใบเตย
4. ในการปั้นแป้ง จะทำทีละสีๆ โดยการผสมแป้งข้าวเหนียวกับแป้งมันสำปะหลัง (6 ส่วน : 1 ส่วน) จากนั้นจึงใส่เครื่องที่เตรียมไว้ลงไปทีละสี แล้วนวดหากแป้งร่วนไปสามารถเติมน้ำเพิ่มได้
5. เมื่อปั้นแป้งเสร็จแล้วให้เก็บใส่ถุงพลาสติกไว้ เพื่อป้องกันแป้งที่นวดนั้นแห้ง
6. นำมาปั้นเป็นลูกกลมๆ โดยใช้แป้งมันเป็นแป้งนวล (แป้งนวล โรยลงบนถาด และเมื่อปั้นแล้วให้คลุกให้เข้ากันเพื่อป้องกันบัวลอยติดกัน)
หากปั้นแล้วยังไม่ใช้ สามารถเก็บใส่ถุงแช่ตู้เย็นไว้ได้ 

ต้มบัวลอย
1. ต้มน้ำให้เดือด จากนั้นใส่บัวลอยลงไป รอจนบัวลอยสุก บัวลอยจะลอยขึ้นมาและช้อนลงในน้ำเย็นเพื่อปัองกันบัวลอยติดกัน (สีสัน จะแสดงให้สวยงามมากขึ้น เพราะแป้งนวลถูกต้มจนสุก)

ทำน้ำกะทิ
1. ใส่น้ำ ใบเตย ลงในหม้อและต้มให้เดือด
2. ใส่น้ำตาลปีบ และน้ำตาลทรายเคี่ยวจนละลาย ลองชิมจนได้รสชาติที่ถูกใจ
3. เทน้ำกะทิลงไปเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม

ทำไข่หวาน
1. ใส่น้ำ และน้ำตาลลงในกระทะ และทำการต้มจนเริ่มเดือด
2. ใส่ไข่ลงไป และใช้ทัพพีคนไปเรื่อยๆ จนเห็นว่าไข่นั้นเริ่มสุกตามที่ต้องการ และยกขึ้น

ยกเสริฟ
1. นำบัวลอยที่สุกแล้วใส่จาน
2. ใส่ไข่หวาน
3. ใส่น้ำกะทิ


เท่านี้เราก็ได้บัวลอยที่ทำจากสีธรรมชาติ ดูน่าทานและอร่อยตามที่เราต้องการได้ครับ
ลองทำกันได้เลย ถ้ามีลูกหลาน เพื่อนๆ พี่น้อง พ่อแม่มาช่วยนั่งปั้นก็จะได้คุยเล่นกันอย่างมีความสุขอีกนะครับ

ขอแถมรูปสุดท้าย รูปผมเอง


Cooking2cu

Shoshana israel Restaurant



หลังจากที่ได้ข้อมูลว่ามีร้านอาหารอิสราเอล ก็พยายามหาโอกาสมาลอง ชวนเพื่อนมาหลายครั้งไม่มีคนมาก็เลยขอมาลองคนเดียวสักครั้ง (ช่วงนี้ชอบลองอาหารใหม่ )


Shoshana israel Restaurant

ภายหน้าร้านจะดูไม่ออกว่าเป็นอาหารแนวไหนเพราะดูทั่วไป ด้านหน้าร้านจะมีพนักงานค่อยแนะนำอาหารอย่างละเอียดมีขายอาหารไทยด้วย คาดว่าอาหารไทยจะขายได้มากกว่า เพราะคนส่วนใหญ่ทานอาหารไทยกัน

ผมดูหลักๆแล้วจะพบสามเมนูหลักและเลือกเครื่องเคียงซึ่งตั้งใจจะลองกินให้ครบ


ชุดขนมปัง Falafel (ราคา 140 บาท)
ซึ่งประกอบไปด้วยขนมปังผ่าครึ่ง ใส่ก้อน Falafel สี่ก้อน พร้อมกับสลัดผักที่คลุกเคล้าด้านใน รองด้วยเฟรนฟราย ดูจากภาพอาจจะดูชิ้นเล็กๆใช่ไหมครับ ขอบอกว่าของจริง ชิ้นใหญ่มากครับ


พนักงานเสริฟน้ำซอสให้สองอย่างซอสกระเทียม และซอส Tenina ใส่ได้เต็มที่เลย(ขวดใหญ่มาก)
ซึ่งสองอย่างจะแตกต่างกัน

  • ซอสกระเทียมจะมีความหอมกระเทียมอ่อนๆ หวานอ่อน 
  • ซอสTehina จะมีกลิ่นเครื่องเทศอ่อนๆ มีความขมเล็กน้อย ซึ่งผมก็ชอบซอสกระเทียมมากกว่าครับ



มาดูเมนูหลักของเราต่อ  Falafel อาจจะไม่คุ้นเคยกับชื่อ ผมก็พึ่งรู้จักเช่นกันครับ เป็นการนำถั่วมาบดพร้อมกับใส่เครื่องเทศสูตรเฉพาะ หอมใหญ่ และผสมกับแป้ง ปั้นให้เป็นก้อนกลมๆ นำลงทอดจะกรอบน่าทาน


หลังจากที่ผมลองชิมแล้วก็อยากให้เพื่อนๆเห็นเนื้อด้านในเลยถ่ายรุปมาให้ชม จะเป็นว่ามีสีเขียวจากผักแทรกอยู่ด้วย โดยส่วนตัวผมชอบครับ กลิ่นไม่แรง แปลกใหม่ แถมไม่มีเนื้อสัตว์ด้วยครับ อร่อยดี


ส่วนภายในขนมปังจะมีผักสลัดหลากหลายสร้างความอร่อยลดความเลี่ยนให้กับอาหาร ทานกับน้ำซอสอร่อยจริงๆ แปลกใหม่ ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ ขนมปังร้อนๆ เพิ่มความลงตัวให้กับอาหาร


ขอถ่ายรูปขนาดเทียบกับมือของผมนะครับ ปกติแล้วผมเป็นคนมือค่อนข้างใหญ่เจอชิ้นนี้มือผมเล็กไปเลยครับ ส่วนเฟรนฟรายนั้นทางร้านจะมีความนิ่มกรอบเล็กน้อย หากใครชอบทานแบบกรอบๆ อาจจะไม่ถูกใจครับ แต่สำหรับผมถือว่าผ่านครับ

ยังไงรอติดตามเมนูต่อไปที่จะมาแนะนำนะครับ


การเดินทาง
ร้านอาหารแห่งนี้อยู่แถวๆถนนข้าวสาร ในการเดินทางสามารถนั่งรถเมล์สาย 82, 6 ได้